Green Work-Life Balance ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ กรีนบำบัด กำจัดความเครียด
สำหรับมนุษย์วัยทำงานทุกคน สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ คือการจัดสมดุลเวลาชีวิตหรือที่เรารู้จักกันว่า ‘Work-Life Balance’ ที่ต้องแบ่งเวลาการทำงานและเวลาส่วนตัวในชีวิตเราให้พอเหมาะกัน ซึ่งการแบ่งสมดุลนี้จะส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
แล้วถ้า ‘Green Work-Life Balance’ ล่ะ? วันนี้พี่หมีอยากชวนทุกคนมาจัดสรรปันเวลาในชีวิตประจำวันของเราเพื่อมาดูแลโลกกัน! เพราะนอกเหนือจากเวลาทำงานแล้ว เชื่อว่าเราหลาย ๆ คนก็มีเวลาว่างที่จะออกไปสร้างสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ รอบตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมภายในบ้านอย่างการปลูกต้นไม้หรือการนำวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์ให้เกิดเป็นสิ่งใหม่เพื่อลดปริมาณขยะ รวมถึงการออกไปพบเจอผู้คน ทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น การท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้วัฒนธรรม หรือการเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์คชอปปลูกต้นไม้ก็ทำให้ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เพิ่มทักษะด้านการเพาะปลูก และเป็นการผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายติดบ้านหรือชอบท่องเที่ยวก็สามารถช่วยโลกและลดวิกฤตโลกร้อนได้เหมือนกัน Let’s act now! มาร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตอนนี้ก่อนที่สภาวะวิกฤตโลกร้อนจะสายเกินแก้ไข กับ Care The Bear Change The Climate Change ด้วยกัน เพื่อให้โลกนี้เป็นโลกที่น่าอยู่สำหรับทุกคน
อีกหนึ่งงานอดิเรกในช่วงเวลาว่างของคุณคือการทำสวนปลูกผักสวนครัว ที่จะทำให้คุณได้มีเวลาอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีผลการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญในเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า การทำสวนทำให้ฮอร์โมน Cortisol อันเป็นส่วนก่อให้เกิดความเครียดในสมองนั้นลดลง และมีรายงานที่พบว่าการทำสวนนั้นมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของอาการความจำเสื่อมได้ถึงร้อยละ 36 เลยทีเดียว
การปลูกผักนั้นไม่ยากอย่างที่คิด หากแต่สามารถเลือกรูปแบบให้เหมาะสมกับพื้นที่อาศัยของเราได้ สำหรับผู้ที่มีพื้นที่กว้างในบ้านก็อาจจะสะดวกปลูกแบบแปลงหรือมีโรงเรือนเป็นของตัวเอง หรือถ้าหากมีพื้นที่น้อยก็ไม่ต้องกังวลไป สามารถปลูกแบบสวนครัวเลื้อยเกาะรั้วตั้งฉากกับพื้นได้ หรือจะเป็นสวนครัวแนวตั้งที่ห้อยพิงตามผนังก็สะดวกเหมือนกัน
ข้อดีของการปลูกพืชสวนครัว นอกจากจะได้พืชผักไว้บริโภคแล้ว การปลูกพืชในแนวระนาบพิงกับผนังยังช่วยลดความร้อนจากแสงได้อีกด้วย ที่สำคัญ ยังถือเป็นการใช้เวลาว่างร่วมกับครอบครัวหรือคนรักของคุณ แถมสร้างสรรค์ต่อโลกอีกด้วย!
ใครที่เป็นมือใหม่หัดปลูกนั้นก็ไม่ยากเลย ลองมองหาพืชผักที่ปลูกง่าย ๆ เช่น ผักชี ผักบุ้ง ผักสลัด คะน้า กะเพรา ระยะเวลาการงอกไม่เกิน 30 วัน และสามารถดูแลการปลูกได้ด้วยตัวเองแน่นอน
เราอยากชวนทุกคนมาสำรวจบ้านกันเถอะ! จากวัสดุและเฟอร์นิเจอร์เหลือใช้ในบ้านสามารถนำมาปรับเปลี่ยนเป็นกระถางปลูกต้นไม้สุดเก๋ได้ เช่น การนำแผงไข่ไก่มาเพาะต้นไม้ กระป๋องนมเหลือใช้ ขวดพลาสติก กะลามะพร้าว หรือแม้กระทั่งล้อยางรถยนต์เก่าก็สามารถนำมาทำกระถางปลูกผักได้นะเออ! นอกจากจะได้สวนใหม่ที่ไม่ซ้ำแบบใครแล้วยังเป็นการลดการสร้างขยะจากสินค้าใหม่ ๆ ด้วย
อีกหนึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ช่วยลดการสูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น คือการเปลี่ยนสายยางมาเป็นบัวรดน้ำเพื่อให้สามารถจำกัดปริมาณน้ำได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำน้ำเหลือใช้จากกิจกรรมอื่น ๆ มารดน้ำได้ ไอเดียการทำฝักบัวนั้นง่ายและใกล้ตัวมาก ไม่ว่าจะเป็นขวดพลาสติก แกลลอนนม ก็สามารถนำมาเจาะรูทำเป็นฝักบัวรดน้ำได้ โดยจะช่วยประหยัดน้ำและลดแรงดันน้ำที่จะทำให้ต้นไม้เล็ก ๆ ของเราเสียหายด้วย
การออกแบบของใช้ใกล้ตัวเช่นนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดต้นตอของปัญหาการขาดแคลนน้ำที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบันได้ด้วย โดยเฉพาะในประเทศไทยเองเป็นพื้นที่ที่มีการบริโภคน้ำเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองจากสหรัฐอเมริกาและอิตาลีเท่านั้น โดยค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำของไทยนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกและส่วนใหญ่หมดไปกับภาคเกษตรกรรมนั่นเอง
สำหรับใครที่เป็นสายท่องเที่ยวแล้วกำลังมองหากิจกรรมที่ทำได้ง่าย ๆ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เราขอแนะนำการเข้าร่วมเวิร์คชอปปลูกผักและการเรียนรู้วิถีเกษตรในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ที่นอกจากจะได้ทำความเข้าใจเกษตรกรชาวสวนแล้วก็ยังสามารถนำกลับมาใช้จริงได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเพาะปลูกต้นกล้า การทำปุ๋ยหมักบำรุงพืช ซึ่งไม่ต้องกังวลหากคุณไม่มีพื้นฐานหรือไม่เคยเริ่มทำมาก่อน เพราะเวิร์คชอปเหล่านี้จะมีพี่ ๆ เกษตรกรคอยให้ความรู้และให้เราได้ลงมือทำจริงไปพร้อม ๆ กับทุกคนแน่นอน
อีกหนึ่งต้นเหตุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแวดวงเกษตรกรรมคือการใช้ปุ๋ยสารเคมีและสารเคมี เนื่องจากปุ๋ยเคมีมีส่วนในการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ที่ทำลายชั้นโอโซนโลก ดังนั้นแล้ว การหันมาใช้ระบบเกษตรอินทรีย์และลดการใช้สารเคมีจึงเป็นอีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรกรรมหรือการปลูกพืชได้
และที่สำคัญ การออกไปทำกิจกรรมเหล่านี้นอกจากจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังทำให้เราได้มีโอกาสพบปะผู้คนที่ใส่ใจโลกและมีความชอบเหมือนกันอีกด้วย เพราะนอกจากการลงมือทำแล้ว การเผยแพร่ความตั้งใจและองค์ความรู้ให้กับคนรอบตัวเราได้นำไปปฏิบัติต่อก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเป็นไปอย่างยั่งยืนเช่นกัน
มาร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กับ Care The Bear Change the Climate Change ด้วยกัน เพื่อโลกนี้น่าอยู่อย่างยั่งยืนได้ต่อไป
หากองค์กรไหน หรือท่านใดสนใจ สามารถติดตามข้อมูลและร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับโครงการ Care the Bear ได้ที่ : climatecare.setsocialimpact.com/carethebear/member/register
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: ฝ่ายพัฒนาเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ติดต่อ ได้ที่ : SocialDevelopmentDepartment@set.or.th